National Coding Day –10 Trend ที่ควรรู้ในปี 2023
วันนี้ช่วงบ่ายหลังจาก ออกมาจากงาน Barcamp ได้มีโอกาสแวะมาฟัง Session ต่อที่ BITEC Bangna
Link Barcamp เช้าบ่าย
โดย Session ที่เข้าฟังเป็นของพี่ลิ่ว CTO-MFEC หรือ
อีกสมญานามคือ lew co-founder ของ blognone นั่นเอง
โดยพี่ลิ่วได้ เอาข้อมูลที่แกอัพเดทอยู่อย่างสม่ำเสมอ มา predict เป็น 10 Trend ที่เราควรรู้สำหรับปี 2023 นี้
แน่นอนมาแรงแซงทางโค้งกับ อันดับ 1
อันดับ 1 Chatbot era is now
ปฎิเสธไม่ได้ว่า ChatGPT ได้เขย่าไปทุกวงการ นักเขียน โปรแกรมเมอร์ หมอ ทนาย นักการตลาด แต่แน่นอนว่ามันไม่ได้มาแทนเรา สิ่งที่เราควรเตรียมตัวคือ เรียนรู้ที่จะใช้มันให้เกิดประโยชน์
อีกทั้งด้วยความที่เราเป็นโปรแกรมเมอร์เอง เราควรลองดูว่า Language Model พวกนี้สามารถทำอะไรให้เราได้อีกบ้าง
ประยุกต์ใช้กับ
- เขียนอีเมล์
- gen code
- gen document
- gen commit message ex aicommit, commitgpt
- suggestion ว่า data ที่เรามีเอาไปทำ BI อะไรได้บ้าง
อันดับ 2 สิ้นสุดปัญหา Protocol สำหรับ IoT — Matter Protocol คลอดแล้ว
จบข้อกังวลของคนเล่น IoT อันยาวนานที่หากใครจะทำ Smart Home ก็ต้องซื้ออุปกรณ์แค่แบรนด์เดียวเพราะกลัวว่าจะใช้ร่วมกับแบรนด์อื่นไม่ได้ ซึ่งได้มี Matter Protocol เป็นมาตราฐานกลางออกมาและ บริษัทใหญ่ๆ ก็เข้าร่วมกับแนวทางนี้ สำหรับคนที่ซื้อไปก่อนหน้านี้ ทางแบรนด์ต่างๆ ก็สัญญาไว้ว่าจะ up patch ให้อุปกรณ์เดิม support ด้วย
อันดับ 3 Low Code Frontend
เครื่องมือในการพัฒนาทาง Frontend
low code ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่หลายปีมานี้บริษัทใหญ่ก็เริ่มมีการผลักดันมากขึ้น
ทั้ง PowerApp ของ microsoft เอง หรือฝั่ง SAP ที่ทำ Low code platform ภายในเอง หรือในฝั่งของ Opensource มีการเติบโตแบบก้าวกระโดดในช่วย covid ที่ผ่านมาอีกทั้งได้ทุนสนับสนุนจากภาคธุรกิจด้วย
Opensource ที่น่าสนใจ
อันดับ 4 Lowcode Backend
แนวทาง lowcode ก็ได้เข้ามาในอุตสาหกรรม API เหมือนกัน
ถ้า commercial ที่เราคุ้นเคยกัน อย่าง Firebase
แต่ถ้าเป็น opensource ก็มีอีกหลายตัวที่เติบโตได้น่าสนใจ
Opensource
อันดับ 5 Serverless / FaaS
หมดยุคกับการเสียเงินไปเปล่าๆ กับ ค่า Server ที่เปิดไว้แต่ไม่มี Traffic เข้ามามากนัก Platform ส่วนใหญ่เริ่มมี Options Pay per requests มากขึ้น
ไม่ว่าจะทั้งฝั่ง AWS เอง หรือ Cloudflare Worker เองที่มี service ที่คิดราคา per requests อีกทั้งพวก technology ปัจจุบันอย่างพวก nextjs, svelte kit ก็ support ในส่วนนี้
อันดับ 6 WASM
การมาของ Wasm ทำให้เราสามารถ compile code ให้กลายเป็น wasm แล้วเอาไปรันในที่ต่างๆ ได้ ซึ่ง ขนาดเล็กกว่า docker image อีกทั้ง runtime รันได้เร็วในระดับไม่ถึง วินาที ทำให้ในอนาคตน่าจะมีการประยุกต์ใช้ wasm มากขึ้น
อย่างในปัจจุบัน wasm ก็ support ใน Docker desktop แล้ว https://docs.docker.com/desktop/wasm/
อันดับ 7 DB มาแรง Sqlite & PostgreSQL
หลายปีที่ผ่านมา 2 เจ้านี้มาแรงมาก
sqlite สามารถถูกฝังไปกับทุกอุปกรณ์
ใน wordpress ก็เริ่มมีการ support sqlite แล้ว ทำให้อนาคตที่ wordpress จะสามารถรันได้โดยไม่ต้องมี sql server อยู่อีกไม่ไกล
อีกทั้ง sqlite ยังสามารทำให้เราทำ application แบบ offline ได้ง่ายขึ้น
แต่ทั้งนี้ ด้าน performance ของ sqlite เองยังติดข้อจำกัดเรื่องการ write หนักๆ อยู่บ้าง อยู่ระหว่างการ improve
postgresql community แข็งแรงอีกทั้ง เจ้าใหญ่อย่าง aws ดันเต็มที่ ทำให้ปัจจุบันส่วนแบ่งตลาด sql อดีตอันดับ 1 อย่าง MySQL ถูกเขย่าบัลลังก์ ตกมาเป็นอันดับ 2 เรียบร้อย
ทำให้ sqlite และ postgresql เป็นที่จับตามอง
อันดับ 8 ลาก่อน 3rd party cookies
ต่อจากนี้ไป cookies จะไม่สามารถถูกอ่านเพื่อนำไปใช้ ยิง ads ใส่เราได้อีกแล้ว
แต่ส่วนดังกล่าวจะย้ายไปอยู่ในฝั่ง browser แทน ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกเองได้ว่าอยากเห็น ads หัวข้ออะไรบ้าง
และ web ต่างๆ ถ้าอยากได้ หัวข้อเหล่านั้นก็ต้องมาทำการ request ขอผ่านทาง browser แทน
อย่างใน youtube ก็เลิกใช้ cookies แล้ว แต่หันมาทำเอง อย่าง suggestion category ในหน้าแรก
อันดับ 9 Authenication
การยืนยันตัวตนแบบ SMS จะกลายเป็นอดีตไป
จะใช้การยืนยันด้วย มือถือมากขึ้น คล้ายๆ กับวิธียืนยันตัว google ผ่าน มือถือ
จากตอนแรกมี concept ในการใช้ กุญแจ สำหรับยืนยันตัว
แต่ตอนนี้ใช้มือถือแทนกุญแจแล้ว
อันดับ 10 Accessibility
การทำเว็บจะต้องคำนึงถึงการ support คนใช้งานในวงกว้างมากขึ้น ไม่ใช่เพียงแค่ผู้ใช้งานทั่วไป แต่รวมถึงผู้ใช้งานที่มีความต้องการพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นผู้พิการทางสายตา ทางการได้ยิน
ทำให้สะดวกในการเข้าถึงข้อมูลมากขึ้น
วิดีโอ มี caption
บทความตัวหนังสือ มีคลิปเสียงอ่านให้ฟัง
ก็จบลงไปแล้วกับ 10 Trends ที่ควรจะลองศึกษาดูสำหรับ ปี 2023 นี้ :) แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้า